และจะมีความสูงที่สูดที่ประมาณ 1-3 เมตร โดยน่าจะเป็นดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้แน่นอน ที่จะทำการคัดสรรพันธุ์พืชต่าง ๆ หลากหลายที่หาได้ยากทั่วโลกซึ่งดอกไทแทน อารั่มนี้ได้ปลูกและออกดอกบานไปแล้วกว่าสองดอกตั้งแต่ฤดูกาลดอกไม้ในปี 2004 ที่ผ่านมา |
||
ดอกที่2 Dracunculus vulgarisต้นและใบลายๆ คล้ายต้นบุกของเราแต่เป็นคนละสายพันธุ์ มีอีกชื่อว่า Voodoo Lily หรือ Dragon Lily เป็นดอกไม้ รูปทรงแปลกๆ อย่างกับใบไม้ยักษ์ |
||
ดอกที่3 Nepenthes Tanax เป็นพวกหม้อข้าวหม้อแกง พันธุ์หนึ่งหม้อข้าวหม้อแกงลิง (Nepenthes) เป็นพืชกินแมลงประเภทหนึ่ง เนื่องจากเราสามารถพบเห็นหม้อข้าวหม้อแกงลิงได้ไม่ยากนัก ประกอบกับหม้อข้าวหม้อแกงลิงมีสายพันธุ์ (Species) อยู่ประมาณ 90 กว่าชนิด ทั่วโลก ตามเขตโซนร้อนทั่วไป โดยเฉพาะบนเกาะบอร์เนียวพบถึง 30 กว่าชนิด |
||
ดอกที่4 Aigrette มีฉายานกกระสามีลักษณะต้นและดอกคล้ายดอกหญ้า เพราะดอกของมันดูคล้ายฝูงนกที่กำลังโบยบิน |
||
ดอกที่5 Venus flytrap ฉายาเทพธิดาดักแมลงเป็นพวกพืชกินแมลง ต้นนี้มีสีสันสวยงามกว่าพันธุ์อื่น เมืองไทยเราเรียก กาบหอยแครง เจ้า venus flytrap นี้ต้นกำเนิดของมันอยู่ที่อเมริกาเท่านั้น และจะพบมันได้ใน 2 รัฐเท่านั้น คือทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐ North carolina และทางตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐ south carolina เท่านั้น venus flytrap จะมีการพักตัวด้วยเมื่อถึงฤดูหนาว วิธีการดักแมลงกันของมัน จะใช้บริเวณกาบนี่แหละที่จะงับแมลงได้ เมื่อแมลงบินมาเกาะที่กาบเพื่อกินน้ำหวานที่ผลิตออกมาจากต่อมน้ำหวาน ขณะที่มันกำลังเพลิดเพลินกับการบริโภคอยู่นั่นเอง ตัวของมันก็จะบังเอิญไปสัมผัสกับขนเล็กๆ ที่อยู่บริเวณด้านในกาบ ในเวลาไม่ถึงวินาที กาบก็จะปิดลงทันที เมื่อแมลงยิ่งดิ้นกาบก็จะงับแน่นขึ้น แน่นขึ้น หลังจากหุบไปหลายวัน เพื่อย่อยเหยื่อ แล้วเจ้ากาบใบนั้นก็จะค่อยๆ เปิดออกเพื่อต้อนรับแมลงตัวใหม่ที่จะมาเยือนอีกครั้ง venus flytrap เป็นที่นิยมมากในหมู่นักเล่นไม้กินแมลงเมืองไทย |
||
ดอกที่6 Drosera capensis เป็นพันธุ์หนึ่งของไม้ประเภท หยาดน้ำค้างเพราะที่ขนบนใบจะมีตุ่มอยู่บนยอดคล้ายน้ำค้างเกาะ ที่เมืองไทยเราพอมีเลี้ยงกันอยู่จะเป็นspecies – Drosera binata ที่เรียกกันว่า “หยาดน้ำค้างใบส้อม” หรือ ?หยาดน้ำค้างเขากวาง? มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตอบอุ่น และสามารถทนอุณหภูมิได้ค่อนข้างสูง จนนิยมจัดไว้ในกลุ่มไม้เมืองร้อน โดยไม่ทิ้งใบเลยทั้งปี |
||
ดอกที่7 Rafflesia arnoldiiถือได้ว่าเป็นดอกไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 70-80 เซนติเมตร เป็นกาฝากชนิดหนึ่งที่อาศัยกินน้ำเลี้ยงจากรากและลำต้นของไม้เถาที่ชื่อว่า ย่านไก่ต้ม ( Tetrastigma papillosumplanch ) จะโผล่เฉพาะดอก ซึ่งเป็นดอกเดี่ยวสีแดงคล้ำหรือน้ำตาล ปนแดงคล้ำ ขึ้นมาจากพื้นดินในระหว่างฤดูฝนหรือในระยะที่อากาศและพื้นดินยังมีความชุ่ม ชื้นสูงคือระหว่างเดือนพฤษภาคม-ธันวาคม ยามที่มันออกดอกสีปูนแดง สดใสอยู่กลางป่าดิบเขียวชอุ่มนั้น ถือเป็นภาพที่น่าตื่นตามาก บัวผุดหรือที่ชาวบ้านทางภาคใต้ของไทยเรียกว่า “บัวตูม” จริงๆแล้วเป็นพืชกาฝาก ซึ่งมีลักษณะ เป็นเส้นใยอาศัยอยู่ในรากและลำต้นของเถาไม้เลื้อยวงศ์องุ่นป่า ชื่อ “ย่านไก่ต้ม” โดยบัวผุดจะอาศัยดูดกินแร่ธาตุและน้ำจากย่านไก่ต้ม โดยต้นแม่ก็ยังคงมีชีวิตอยู่ พวกเราจะเห็นบัวผุดได้ก็เฉพาะยามเมื่อมันต้องการผสมพันธุ์กัน คือ จะเริ่มมีตาดอกเป็นปุ่มกลมเล็กๆ โตขึ้นที่ผิวของย่านไก่ต้ม แล้วใช้เวลา 9 เดือน ขยายขนาดจน เท่ากับหัวกะหล่ำยักษ์ จากนั้นก็ใช้เวลาไม่เกิน 7 วัน ในรอบปีให้ดอกบาน ทว่าดอกตัวผู้และดอกตัวเมียแยกกันอยู่ จึงต้องได้เวลาเหมาะเหม็งมากในช่วงเวลาบาน แมลงวันจึงจะช่วยผสมเกสรให้ได้ จึงถือว่ามีความเสี่ยงสูงในการสูญพันธุ์ในเมืองไทยจะพบบัวผุดได้ตั้งแต่คอ คอดกระ จังหวัดระนอง เรื่อยลงไปตามแนวเทือกเขาภูเก็ต จนสุดชายแดนที่นราธิวาส โดยอุทยานแห่งชาติเขาสก จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นแหล่งชมบัวผุดแหล่งใหญ่ที่สุด มีบัวผุดทยอยบานให้ชมทั้งปี แต่เป็นที่นิยมไปชม กันมากในฤดูแล้งช่วงเดือนพฤศจิกายน- เมษายน เพราะเดินป่าง่าย แต่เขาสกก็ได้ผ่านบทเรียนอันเจ็บปวดมาแล้วจากอดีต ในการสูญเสียบัวผุดที่ควนลูกช้าง เพราะในอดีตยังขาดความเข้าใจในชีวิตอันเปราะบางของมัน จึงมีผู้แห่กันไปชมบัวผุด โดยมีการเหยียบย่ำเถาย่านไก่ต้ม เหยียบย่ำดอกอ่อน และเหยียบย่ำตาดอก ขนาดเล็กที่เพิ่งผุดขึ้นมา (โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์) ทั้งนี้เพื่อเข้าไปชมและถ่ายรูปกับดอกบัวผุดให้ใกล้ชิดที่สุด ส่งผลให้บัวผุดตาย และสาบสูญไปจากควนลูกช้าง แม้ปัจจุบันบัวผุดบริเวณกิโลเมตรที่ 111 และที่เขาสองน้องก็มีจำนวนดอกลดน้อยลง และขนาดดอกในรอบ 2 ปี (พ.ศ. 2545-2546) ที่ผ่านมาก็เล็กลงจนน่าตกใจ ทีเดียว อุทยานแห่งชาติเขาสก และทางกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้เล็งเห็นความเร่งด่วนของสถานการณ์ดังกล่าว จึงได้ออกมาตรการป้องกันรักษา ดอกบัวผุด โดยออกสำรวจ เมื่อพบดอกใกล้บานจะทำการล้อมรั้ว ติดป้ายห้ามเข้าใกล้ดอก และสร้างสะพานไม้ยกระดับให้ยืนชมดอกอยู่ห่าง ๆ บนสะพานไม้ ไม่ให้มี การลงไปเหยียบย่ำพื้นดินหรือเถาย่านไก่ต้มอีกต่อไป นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้ชาวบ้านเป็นไกด์ท้องถิ่นพานักท่องเที่ยวเข้าชมบัว ผุด เพื่อให้เกิดรายได้แก่ชุมชนอัน จะนำมาซึ่งความรัก ความเข้าใจ ความหวงแหน และการอนุรักษ์แหล่งชมดอกบัวผุดได้อย่างยั่งยืนตลอดไป |
||
ดอกที่ 8 Tacca chantrieri เป็นไม้จำพวก Black Lilyที่เรามาประดับบ้าน มีชื่ออื่นๆอีกเช่น ว่านหัวฬา ว่านพังพอน (ยะลา) ว่านนางครวญ (นครศรีธรรมราช) และค้าวคาวดำ ลำต้น เป็นไม้ล้มลุก มีเหง้าใต้ดิน ใบเป็นใบเดี่ยวรูปหอก ขอบขนานแผ่ใบกว้าง 7-15 เซนติเมตร ยาว 20-60 เซนติเมตร ปลายและโคนแหลม ก้านใบค่อนข้างเล็ก กลม ยาวประมาณ 1 คืบ เส้นใบคล้ายใบกล้วย แต่ร่องลึกและแคบกว่า ดอกมีสีม่วงดำคล้ายหัวค้างคาว กลีบเหมือนหูโตๆ ใบประดับกลมยาวเหมือนหนวดแมว สีม่วงดำ 10-25 เส้น เกิดในป่าดงดิบชื้น สูง 500-1500 เมตร |
||
ดอกที่9 Strangler figคือกาฝากชนิดหนึ่ง เป็นไม้เถาวัลย์อาศัยดูดซับสารอาหารจากต้นไม้อื่นและเจริญเติบโตขึ้นอย่าง ช้าๆ เหมือนกาฝาก แต่ขนาดใหญ่กว่ามากพอๆกับต้นที่มันเกาะอาศัยอยู่ทีเดียว รากของมันไม่ได้แค่เกาะไปกับต้นไม้ที่มันอาศัย แต่จะพันรัดไปรอบทั้งลำต้นเลยทีเดียว จนในที่สุดโอบรัดต้นไม้ใหญ่และสังหารต้น ที่มันอาศัยเสียเมื่อตัวมันเติบโตเต็มที่ ทำให้ได้ฉายา Strangler (สแทรงเกลอร์ฟิก) หรือนักบีบรัด นั่นเอง ที่จริงพฤติกรรมโหดๆแบบนี้ ไม่น่าหายาก หรือใกล้สูญพันธ์เลยนะ |
||
ดอกที่10 Starngler มาจากคำว่า Strangling แปลว่า “บีบคอ”บางครั้งก็จะเรียกต้นนี้ว่า Strangling Fig ซึ่งก็มีความหมายคล้ายๆ กัน |
บริษัท Black Astrum ของประเทศอังกฤษได้ผลิตนามบัตรที่แพงที่สุดในโลก แต่ละใบใช้เพชรในการตกแต่งกว่า 30 กะรัต และวัสดุที่นำมาใช้ผลิตนามบัตร ทำจากอะคริลิกอย่างดีจากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ มีความคงทนสูง จึงทำให้นามบัตรนี้ราคาแพงที่สุดในโลก ด้วยราคา 1,500 ดอลล่าสหรัฐต่อแผ่น และแต่ละครั้งในการผลิตจะผลิตเป็นชุดละ 25 ใบ 50 ใบ และ 100ใบ เท่านั้น ไม่ใช่แค่เพียงเป็นเศรษฐีเท่านั้น ที่จะสามารถเป็นเจ้าของได้ แต่ต้องได้รับเชิญเท่านั้นถึงจะสั่งซื้อเป็นเจ้าของได้